น้ำท่วม ในเอเชีย: ผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และวิธีดูแลสุขภาพในช่วงภัยพิบัติ

ทวีปเอเชียถือเป็นหนึ่งในจุดหมายยอดนิยมสำหรับการท่องเที่ยวช่วงปลายปีของนักเดินทางทั่วโลก ด้วยสภาพภูมิอากาศแบบร้อนชื้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นชายหาดสวยงามของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมืองเก่าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ในเอเชียตะวันออก หรือภูเขาสูงอากาศเย็นสบายในเอเชียเหนือ ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากเลือกออกเดินทางในช่วงฤดูหนาว ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวที่สุดของปี อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ในช่วงฤดูหนาว หลายประเทศในแถบเอเชียตะวันออกยังคงต้องเผชิญกับสภาพอากาศสุดขั้ว โดยเฉพาะในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงาน พายุฝนตกหนัก ในบางพื้นที่ ส่งผลให้เกิด น้ำท่วม ในหลายประเทศ เช่น ไทย มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงปลายปี

น้ำท่วม กับผลกระทบที่เกินกว่าความเสียหายทางกายภาพ

สิ่งที่ตามมาหลังเกิดน้ำท่วมอาจมากกว่าความเสียหายต่อบ้านเรือนและทรัพย์สิน เพราะในภาวะแบบนี้หลายคนต้องอพยพออกจากพื้นที่กะทันหัน หรือมีบางส่วนที่ไม่สามารถย้ายออกจากฐานที่อยู่ได้ทันเวลา ความเสี่ยงต่อสุขภาพก็เพิ่มขึ้นโดยหลีกเลี่ยงได้ยาก โรคที่มากับน้ำ เช่น โรคทางเดินหายใจจากอากาศชื้น ไข้หวัด คัดจมูก น้ำมูกไหล โรคผิวหนังจากการสัมผัสน้ำที่ไม่สะอาด อหิวาตกโรคหรือโรคระบบทางเดินอาหาร  

วิธีดูแลสุขภาพในช่วง น้ำท่วม และรับมือโรคหวัดที่มากับความชื้น

เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยในสถานการณ์น้ำท่วม การดูแลสุขภาพพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำอย่างต่อเนื่อง ได้แก่:

1. ป้องกันการเปียกชื้น

ความชื้นในอากาศเป็นตัวกระตุ้นให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้ง่าย ควรหาชุดแห้งเปลี่ยนทันทีหากเสื้อผ้าเปียก และหลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งบนพื้นที่ชื้นเป็นเวลานาน

2. ใส่หน้ากากเมื่ออยู่ในพื้นที่คนหนาแน่น

การรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก เช่น ในศูนย์พักพิง ทำให้เชื้อหวัดแพร่กระจายได้ง่าย การสวมหน้ากากช่วยลดความเสี่ยงได้มาก

3. ลดอาการหวัด คัดจมูก และช่วยให้หายใจสะดวก

อากาศอับชื้นในช่วงน้ำท่วมมักทำให้เกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และหายใจไม่สะดวก การใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหย...

Read more...

อากาศหนาวก็เอาอยู่! เทคนิคดูแลลูกเมื่อมีน้ำมูกไหลระหว่างทริป ฤดูหนาว

ช่วงปลายปีถือเป็นช่วงเวลาที่หลายครอบครัวเลือกใช้เป็นโอกาสในการท่องเที่ยว ท่ามกลางอากาศเย็นสบายหรือบรรยากาศ ฤดูหนาว ที่บางพื้นที่มีอากาศเย็นจัด ลมแรง หรือแม้กระทั่งหิมะโปรยปราย ประกอบกับเทศกาลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงสิ้นปี ทำให้การเดินทางในฤดูนี้เป็นประสบการณ์ที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างรอคอย อย่างไรก็ตาม อากาศที่หนาวเย็นและเปลี่ยนแปลงรวดเร็วอาจทำให้ร่างกายของเด็ก ๆ ปรับตัวไม่ทัน ส่งผลให้เกิดอาการน้ำมูกไหลได้ง่าย แม้อาการจะไม่รุนแรง แต่ก็สร้างความไม่สบายตัวและอาจทำให้การเดินทางไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ดังนั้น การเตรียมความพร้อมให้ลูกน้อยอย่างเหมาะสมจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก  

การป้องกันก่อนออกเดินทาง

เป็นวิธีที่ช่วยลดโอกาสเกิดอาการน้ำมูกไหลได้ดีที่สุด ผู้ปกครองควรดูแลให้เด็ก ๆ พักผ่อนอย่างเพียงพอ ดื่มน้ำมากพอ และเลือกเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะเสื้อคลุม ผ้าพันคอ หมวก หรืออุปกรณ์ที่ช่วยปิดบริเวณจมูกและคอ ซึ่งเป็นส่วนที่ไวต่ออากาศเย็น การแต่งกายแบบหลายชั้นจะช่วยให้ร่างกายรักษาความอบอุ่นและปรับตัวตามสภาพแวดล้อมได้ดีขึ้น หากเด็ก ๆ เกิดอาการน้ำมูกไหลระหว่างการเดินทาง สิ่งสำคัญคือการรักษาความชุ่มชื้นภายในโพรงจมูก เนื่องจากอากาศหนาวมักมีความชื้นต่ำ ทำให้เยื่อบุจมูกแห้งและเกิดการระคายเคืองได้ง่าย ควรเตรียมทิชชู่เนื้อนุ่ม สเปรย์น้ำเกลือ หรือผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหยที่ช่วยให้หายใจโล่ง ซึ่งใช้งานสะดวกระหว่างเดินทาง ขึ้นเครื่องบิน โดยสารรถไฟ หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องเผชิญลมหนาวอย่างต่อเนื่อง  

การเลือกที่พักก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ

เพราะระบบปรับอากาศหรือฮีตเตอร์อาจทำให้สภาพอากาศภายในห้องพักแห้งจนเกินไป หากมีตัวเลือก ควรเลือกที่พักที่มีเครื่องควบคุมความชื้น หรือสามารถจัดวางภาชนะใส่น้ำเพื่อช่วยเพิ่มความชื้นในห้องได้ วิธีนี้ช่วยให้ร่างกายของเด็กปรับตัวได้ดีขึ้นและลดโอกาสเกิดอาการจมูกแห้งหรือน้ำมูกไหล สำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง แนะนำให้เด็ก ๆ สวมหน้ากากหรือผ้าปิดจมูกเพื่อป้องกันลมหนาวไม่ให้ปะทะโดยตรง และควรให้หยุดพักเป็นช่วง...

Read more...

พายุนอกฤดูมาพร้อมกับความเสี่ยงใหม่: คัลแมกีและภัยสุขภาพที่ต้องเตรียมรับมือ

การมาของ พายุ คัลแมกี (Kalmaegi) ในช่วงปลายปี—ซึ่งโดยปกติควรเป็นเวลาที่อากาศเย็นลงและแห้งกว่าปกติ—กลายเป็นสัญญาณสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า “ภูมิอากาศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเปลี่ยนไป” อย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดฝนฟ้าคะนอง ลมแรง และน้ำท่วมฉับพลัน แต่ยังพาเอาความเสี่ยงด้านสุขภาพเข้ามาด้วย โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และการติดเชื้อที่มักระบาดเมื่ออากาศแปรปรวน กล่าวได้ว่าพายุครั้งนี้สะท้อนปรากฏการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ และเกี่ยวข้องทั้งเรื่องสภาพอากาศ ความปลอดภัย และสุขภาพของประชาชนโดยตรง  

พายุ ในฤดูหนาว: ภาพสะท้อนของภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป

ช่วงฤดูหนาวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มักเป็นช่วงที่ฝนน้อย ความชื้นลดลง และอุณหภูมิค่อย ๆ เย็นลง จนโอกาสเกิดพายุโซนร้อนแทบเป็นศูนย์ แต่คัลแมกีกลับเคลื่อนตัวเข้ามาพร้อมกำลังลมและฝนที่มากผิดปกติ นี่เป็นสัญญาณว่าความอุ่นของน้ำทะเลและความแปรปรวนของมรสุมกำลังเปลี่ยนไป ส่งผลให้พายุสามารถเกิดขึ้นได้แม้ในฤดูที่ปกติถือว่า “ปลอดภัย” จากพายุ ลักษณะเช่นนี้ถือเป็นสิ่งที่นักอุตุนิยมวิทยาเตือนมาหลายปีว่าอาจเป็นผลจากภาวะโลกร้อนที่ทำให้รูปแบบอากาศไม่เสถียรเหมือนเดิมอีกต่อไป  

การเตรียมพร้อมทั้งด้านความปลอดภัยและสุขภาพ

นอกจากการรับมือกับพายุในมุมของสิ่งแวดล้อมแล้ว สุขภาพของคนในครอบครัวก็เป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง 1. อุปกรณ์จำเป็นควรมีพร้อม ไฟฉายและแบตสำรอง ชุดปฐมพยาบาล เสื้อผ้าที่ช่วยรักษาความอบอุ่นหลังฝนตก อาหารสำรองที่เก็บได้นาน 2. เสริมการป้องกันโรคทางเดินหายใจ สวมหน้ากากเมื่ออากาศชื้น รักษาความอบอุ่นของร่างกาย หลีกเลี่ยงพื้นที่น้ำท่วมที่อาจมีเชื้อโรคสะสม 3. เสริมภูมิคุ้มกันในช่วงพายุ ด้วย 💚 Happy Noz สูตรหอมเขียว –...

Read more...

ทำไมยังรู้สึก เหนื่อย หลังหายหวัด? รู้จักภาวะเหนื่อยล้าหลังติดเชื้อไวรัสในช่วงพายุคาจิกิ

ช่วงที่พายุคาจิกิพัดผ่านประเทศไทย หลายพื้นที่มีฝนตกหนัก ลมแรง และความชื้นสูง ทำให้ คุณแม่และลูกน้อยเสี่ยงต่อการป่วยได้ง่ายขึ้น หลายคนอาจเคยมีประสบการณ์ว่า หายหวัดแล้ว แต่ร่างกายยังรู้สึก เหนื่อย อ่อนเพลีย จนไม่มีแรงทำงานหรือดูแลลูกเหมือนเดิม อาการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ในทางการแพทย์เรียกว่า Post-viral fatigue หรือ อาการเหนื่อยล้าหลังติดเชื้อไวรัส   ภาวะนี้เกิดขึ้นหลังการเจ็บป่วย แม้จะหายจากไข้หวัดหรือไวรัสแล้ว ร่างกายยังต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูสมดุลและซ่อมแซมตัวเอง ทำให้หลายคนรู้สึกเพลีย อ่อนแรง หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย  

🧒 อาการที่พบบ่อย

เหนื่อย แม้จะนอนหลับเพียงพอ สมาธิลดลง หรือหงุดหงิดง่าย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เจ็บคอ หรือคัดจมูก ต่อมน้ำเหลืองบวม หากอาการยังคงอยู่ เกิน 2–3 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสม  

🌧️ วิธีบรรเทาความ เหนื่อย ในช่วงพายุ

พักผ่อนให้เพียงพอ: 7–9 ชั่วโมงต่อวัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผักผลไม้ โปรตีน และดื่มน้ำเพียงพอ หลีกเลี่ยงการเปียกฝนโดยไม่จำเป็น: สวมเสื้อผ้าอบอุ่น และไม่อยู่ในที่ชื้นนาน ๆ ดูแลสุขภาพจิต: ทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น อ่านหนังสือ หรือฟังเพลงเบา ๆ ติดตามสถานการณ์พายุ: เตรียมพร้อมและปฏิบัติตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา สิ่งสำคัญคือ ให้เวลาร่างกายฟื้นตัว...

Read more...
น้ำมูก

น้ำมูก เปลี่ยนสี อย่ามองข้าม! รู้ทันสุขภาพลูกรักจากสีที่เปลี่ยนไป

ระบบทางเดินหายใจส่วนต้นของเด็กเล็กมีความเปราะบางและไวต่อสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษ การมี น้ำมูก จึงเป็นอาการที่พบได้บ่อย และมักเป็นสิ่งแรกที่คุณแม่ให้ความสนใจเมื่อลูกรักเริ่มมีอาการเจ็บป่วย แม้น้ำมูกจะดูเหมือนเพียงของเหลวที่ร่างกายขับออกมา แต่ในทางการแพทย์ สี ลักษณะ และปริมาณของน้ำมูกสามารถสะท้อนถึงภาวะสุขภาพของร่างกายได้อย่างมีนัยสำคัญ น้ำมูก ไม่ใช่ของเสีย หากแต่เป็นกลไกธรรมชาติที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อดักจับฝุ่น เชื้อโรค และสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ จากอากาศที่เราหายใจเข้าไป โดยเฉพาะในเด็กเล็กซึ่งระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ การสังเกตลักษณะและ “สีของน้ำมูก” จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณแม่เข้าใจสภาวะร่างกายของลูกได้ดียิ่งขึ้น

น้ำมูกใส 🔵

น้ำมูกใสเป็นภาวะปกติที่พบได้ทั่วไปในเด็ก อาจเกิดจากการระคายเคืองเล็กน้อย เช่น ฝุ่นละออง ละอองเกสร หรือเป็นอาการเบื้องต้นของไข้หวัด หากพบว่าบุตรหลานมีน้ำมูกใสร่วมกับการจาม คันตา หรือไอแห้ง ๆ เป็นระยะ ควรพิจารณาถึงภาวะภูมิแพ้ร่วมด้วย

น้ำมูกสีขาวหรือขุ่น ⚪️

เมื่อน้ำมูกมีความข้นมากขึ้นจนเป็นสีขาวหรือขุ่น แสดงว่าร่างกายกำลังตอบสนองต่อการติดเชื้อไวรัสบางชนิด โดยเฉพาะในช่วงที่ร่างกายอยู่ในระยะฟื้นตัว น้ำมูกลักษณะนี้มักพบในระยะแรกของไข้หวัดใหญ่ หรือเมื่อเยื่อบุโพรงจมูกมีการอักเสบเล็กน้อย

น้ำมูกสีเหลือง 🟡

สีเหลืองของน้ำมูกมักเกิดจากการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรค ถูกขับออกมาพร้อมน้ำมูก เป็นสัญญาณว่าร่างกายยังอยู่ในกระบวนการต่อสู้กับการติดเชื้อ โดยอาการมักอยู่ในช่วงกลางของการเจ็บป่วย เช่น หวัด หรือไซนัสอักเสบระยะเริ่มต้น

น้ำมูกสีเขียว 🟢

หากน้ำมูกเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม และมีลักษณะเหนียวข้น ร่วมกับอาการไข้ หรือเจ็บโพรงจมูก อาจบ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะกรณีที่อาการยังคงอยู่เกิน...

Read more...

คัดจมูก ในออฟฟิศเกิดจากอะไร? 3 สาเหตุใกล้ตัวที่คุณอาจมองข้าม

คัดจมูก อาจดูเป็นเรื่องเล็ก อาจดูเหมือนเรื่องเล็กน้อยในสายตาใครหลายคน โดยเฉพาะหากไม่ได้มีไข้หรือเจ็บป่วยรุนแรงร่วมด้วย สำหรับคนวัยทำงานที่ต้องใช้ชีวิตในออฟฟิศวันละ 8–10 ชั่วโมง อาการนี้สามารถรบกวนสมาธิ ประสิทธิภาพการทำงาน และความรู้สึกโดยรวมตลอดทั้งวัน โดยทั่วไปคนมักเข้าใจว่าอาการ คัดจมูก เกิดจาก “การเป็นหวัด” หรือ “ภูมิแพ้ตามฤดูกาล” เท่านั้น ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ยังมีปัจจัยใกล้ตัวอีกมากที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศภายในอาคาร แอร์ ฝุ่น กลิ่น หรือแม้แต่กิจวัตรประจำวันบางอย่างที่คุณอาจมองข้ามไป ล้วนสามารถกระตุ้นหรือเร่งให้เกิดอาการคัดจมูกได้โดยไม่รู้ตัว เราจึงอยากชวนทุกคนมาเข้าใจต้นตอของปัญหาและหาวิธีจัดการได้อย่างตรงจุดไปด้วยกัน  

สาเหตุที่ 1 แพ้อากาศภายในอาคาร (Sick Building Syndrome)

คือ ภาวะที่ผู้อยู่ในอาคารรู้สึกไม่สบายหรือมีอาการเจ็บป่วย เช่น เป็นหวัด ไอ หรือมีน้ำมูก แต่เมื่อออกจากอาคารนั้นแล้ว อาการกลับดีขึ้นอย่างรวดเร็ว องค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐ (EPA) ระบุว่าอากาศภายในอาคารอาจปนเปื้อนได้มากกว่าอากาศภายนอกถึง 100 เท่า หากคุณสังเกตว่าอาการเหล่านี้เกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่อยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เช่น ที่ทำงาน โรงเรียน หรืออาคารที่พัก อาจเป็นไปได้ว่าคุณกำลังเผชิญกับกลุ่มอาการเจ็บป่วยนี้ ซึ่งมักเกิดจากฝุ่นในระบบปรับอากาศ พรมเก่า เชื้อราในห้องที่ไม่มีอากาศถ่ายเท...

Read more...

ไขความลับ “ หวัด จาก ฝน ” ทำไมถึงพบได้บ่อยในช่วงมรสุม

ในช่วงฤดูมรสุม คุณพ่อคุณแม่อาจคาดหวังว่าอากาศจะเย็นลง รู้สึกสดชื่นขึ้น แต่ความเป็นจริงคือ หลังฝนตกมักตามมาด้วยความรู้สึก “อบอ้าว” ซึ่งเกิดจากอุณหภูมิที่ยังคงสูง รวมกับความชื้นในอากาศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สภาพอากาศเช่นนี้ไม่เพียงทำให้รู้สึกไม่สบายตัว แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพทำให้เป็น หวัด ได้โดยตรง  

อากาศร้อนชื้น สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อเชื้อโรค

ความร้อนและความชื้นสูง เป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย โดยเฉพาะไวรัสที่ทำให้เกิดโรค หวัด แม้ว่าไวรัสเหล่านี้จะชอบอากาศเย็น แต่ความชื้นสูงช่วยให้ไวรัสคงอยู่ในอากาศได้นานขึ้น และสามารถแพร่กระจายจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนได้ง่ายผ่านละอองฝอยจากการไอหรือจาม ในสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่น ความเสี่ยงในการติดเชื้อก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น แม้หวัดส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อไวรัส แต่หวัดที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียก็พบได้เช่นกัน ซึ่งสามารถสังเกตได้จากสีของน้ำมูกหรือเสมหะ หากเป็นหวัดที่เกิดจากแบคทีเรีย น้ำมูกหรือเสมหะมักจะมีสีเหลืองหรือสีเขียว สาเหตุที่เปลี่ยนสีนี้มาจากการที่เม็ดเลือดขาว ซึ่งเป็นด่านแรกของระบบภูมิคุ้มกัน เข้ามาต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย ทำให้เกิดปฏิกิริยากับเอนไซม์ในเม็ดเลือดขาว จนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียว ดังนั้น หากน้ำมูกหรือเสมหะเปลี่ยนจากใสหรือขาว เป็นสีเหลือง เขียว หรือบางครั้งมีสีน้ำตาลหรือมีเลือดปน ก็อาจเป็นสัญญาณของหวัดที่เกิดจากแบคทีเรีย ซึ่งควรได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่สั่งโดยแพทย์ เพื่อให้เหมาะสมกับอาการและชนิดของเชื้อโรค  

ฝนตก อุณหภูมิลดลง ร่างกายต้องปรับตัว

เมื่อฝนตก อุณหภูมิรอบตัวมักลดลงอย่างรวดเร็ว ร่างกายจึงต้องเร่งปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันที่อาจอ่อนแอลงชั่วคราว ทำให้เจ้าตัวเล็กป่วยได้ง่ายขึ้น ถ้าร่างกายเปียกฝน หรืออยู่ในที่เย็นและชื้นเป็นเวลานานโดยไม่รีบเช็ดตัวให้แห้งหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า ยิ่งทำให้ร่างกายสูญเสียความร้อน ภูมิคุ้มกันลดลง และอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอาการหวัดโดยไม่รู้ตัว  

วิธีป้องกัน หวัด ในฤดูมรสุม

✅ ล้างมือให้บ่อย ด้วยสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ โดยเฉพาะหลังจากจับของสาธารณะหรือก่อนสัมผัสใบหน้า ✅...

Read more...

สติ๊กเกอร์ไล่ยุงบั๊กการ์ด หน้าฝนนี้ยุงร้ายแค่ไหนก็ไม่กลัว

เมื่อเข้าสู่ "หน้าฝน" ทีไร สิ่งที่มักมาพร้อมกับความชื้นและอากาศเย็นคือ "ยุง" โดยเฉพาะยุงลาย ซึ่งนอกจากจะสร้างความรำคาญแล้ว ยังเป็นพาหะของโรคร้ายแรง เช่น ไข้เลือดออก, ไวรัสซิกา, ชิคุนกุนยา และมาลาเรีย ที่อาจคุกคามสุขภาพของคุณและคนที่คุณรักอย่างคาดไม่ถึง การทำความเข้าใจว่าทำไมยุงถึงชุกชุมในฤดูนี้ และรู้วิธีป้องกันด้วย สติ๊กเกอร์ไล่ยุงบั๊กการ์ด จึงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด

ทำไมหน้าฝน ยุงถึงเยอะและอันตราย?

ช่วงหน้าฝน เป็นสภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการแพร่พันธุ์ของยุงอย่างมาก ทำให้ยุงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นปัญหาใหญ่ทุกปี ด้วยปัจจัยสำคัญเหล่านี้: แหล่งเพาะพันธุ์ยุงในหน้าฝนเพิ่มขึ้นมาก: เมื่อฝนตกต่อเนื่อง น้ำจะขังตามภาชนะต่างๆ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นจานรองกระถาง, ยางรถยนต์เก่า, กะลา, ถังน้ำ, แจกัน, ขยะที่ทิ้งไว้อย่างไม่เป็นระเบียบ หรือแม้แต่แอ่งน้ำเล็กๆ น้อยๆ บนพื้นดิน ล้วนกลายเป็นแหล่งวางไข่ชั้นดีและเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับยุง โดยเฉพาะ "ยุงลาย" ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยและเป็นพาหะของโรคหลายชนิด ไข่ของยุงลายมีความพิเศษคือสามารถทนต่อความแห้งแล้งได้นานหลายเดือน และเมื่อได้รับความชื้นหรือมีน้ำท่วมขังเพียงเล็กน้อย ก็จะฟักตัวออกมาเป็นลูกน้ำได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ประชากรยุงเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลาอันสั้น เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงเห็นยุงเยอะขึ้นมากในหน้าฝน สภาพอากาศเหมาะสม: นอกจากแหล่งน้ำแล้ว อากาศชื้นและอุณหภูมิที่พอเหมาะในช่วงหน้าฝนยังเอื้อต่อการเจริญเติบโต การลอกคราบจากลูกน้ำเป็นตัวโม่ง และการขยายพันธุ์ของยุงเป็นอย่างดี ความชื้นที่สูงขึ้นยังช่วยให้ยุงมีชีวิตรอดได้นานขึ้นอีกด้วย ...

Read more...

ลูกป่วยแบบไหน? สังเกตอาการไข้หวัดใหญ่ VS โควิด-19 ง่าย ๆ ที่บ้าน

ในช่วงที่มีการระบาดของโรคระบบทางเดินหายใจอย่างต่อเนื่อง ทั้งไข้หวัดใหญ่และ โควิด-19 ผู้ปกครองจำนวนมากอาจเกิดความกังวล เมื่อลูกน้อยมีอาการไข้ ไอ หรืออ่อนเพลีย ซึ่งเป็นอาการเบื้องต้นที่พบได้ทั้งในไข้หวัดใหญ่และโควิด-19 โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถบอกเล่าความรู้สึกหรืออาการได้ชัดเจน ในบทความนี้จึงอยากชวนผู้ปกครองมาสังเกตอาการเบื้องต้นของไข้หวัดใหญ่และโควิด-19 ในเด็ก พร้อมแนวทางการดูแลเบื้องต้นในบ้านอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการลุกลามของอาการและการแพร่กระจายเชื้อในครอบครัว  

การสังเกตและแยกแยะอาการของโรคในเบื้องต้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจาก:

แนวทางการรักษาแตกต่างกัน: โควิด-19และไข้หวัดใหญ่มีแนวทางการรักษาเฉพาะ ระยะการแพร่เชื้อไม่เหมือนกัน: โควิด-19มีระยะเวลาการแพร่เชื้อที่ยาวนานกว่า ความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนไม่เท่ากัน: เด็กบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากไข้หวัดใหญ่ วิธีการป้องกันโรคแตกต่างกัน: การดูแลสุขอนามัยและการแยกกักต้องปรับตามลักษณะของโรค การได้รับข้อมูลที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น ช่วยให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดโอกาสในการเกิดภาวะรุนแรง  

อาการของ โควิด-19 ในเด็ก

เด็กที่ติดเชื้อโควิด-19 อาจแสดงอาการไม่รุนแรง หรือไม่แสดงอาการเลย อย่างไรก็ตาม อาจพบอาการคล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ เช่น: มีไข้ (37.5°C ขึ้นไป) ไอแห้ง เจ็บคอ มีน้ำมูก คัดจมูก เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย สูญเสียการรับรสหรือกลิ่น (พบบ่อยในเด็กโต)

แนวทางการดูแลเบื้องต้นในกรณีติดเชื้อ โควิด-19

แยกที่พักอาศัยจากสมาชิกในครอบครัว สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อใกล้ชิด ล้างมือบ่อย ๆ และดูแลสุขอนามัยพื้นฐาน วัดไข้และติดตามอาการอย่างใกล้ชิดทุกวัน  

อาการของไข้หวัดใหญ่ในเด็ก

ไข้หวัดใหญ่ในเด็กมักแสดงอาการรวดเร็วและรุนแรงกว่าไข้หวัดทั่วไป โดยอาการที่พบบ่อย ได้แก่: ไข้สูงเฉียบพลัน (มากกว่า 38°C) ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หนาวสั่น ไอแห้ง หรือเจ็บหน้าอก เบื่ออาหาร งอแง ซึม หรืออ่อนแรง ปวดศีรษะ และหงุดหงิดง่าย คลื่นไส้...

Read more...

4 เคล็ดลับสู้ น้ำมูกไหล แบบไม่พึ่งยา

น้ำมูกไหล เป็นอาการที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวันของหลายคน ซึ่งแม้จะดูเหมือนไม่ใช่อาการรุนแรง แต่ก็สร้างความไม่สบายตัวและรบกวนการใช้ชีวิตไม่น้อย ไม่ว่าจะในระหว่างทำงาน การนอนหลับ หรือแม้แต่ในกิจวัตรทั่วไป    อาการน้ำมูกไหลสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดหรือหวัดธรรมดา ภาวะภูมิแพ้ หรือแม้แต่จากสภาพแวดล้อมที่ระคายเคือง เช่น ฝุ่นละออง ควัน หรืออากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกสร้างเมือกมากกว่าปกติ จนนำไปสู่อาการน้ำมูกไหลตามมา   เมื่อเกิดอาการน้ำมูกไหล ผู้คนมักพึ่งพายาแก้แพ้หรือยาลดน้ำมูกเพื่อบรรเทาอาการอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ยาบ่อยครั้งอาจมีผลข้างเคียงในระยะยาว เช่น อาการง่วงซึม หรือภาวะดื้อยาในบางราย ด้วยเหตุนี้ หลายคนอาจเริ่มมองหาวิธีธรรมชาติในการดูแลตนเองเพื่อจัดการกับอาการน้ำมูกไหลอย่างปลอดภัยและยั่งยืน บทความนี้จึงอยากพาทุกคนมารู้จัก 4 เคล็ดลับสู้ น้ำมูกไหล แบบไม่พึ่งยา  

วิธีที่ 1 ดื่มน้ำให้เพียงพอ

การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้เมือกในโพรงจมูกมีความเหลว ทำให้ง่ายต่อการขับออก และช่วยลดอาการคัดจมูกได้ดี ควรเลือกดื่มน้ำเปล่า น้ำซุป หรือชาสมุนไพร และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ทำให้ร่างกายขาดน้ำ เช่น แอลกอฮอล์หรือกาแฟ  

วิธีที่ 2 ดูแลความสะอาดในบ้านอย่างสม่ำเสมอ

หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้อาการแพ้แย่ลงคือ สารก่อภูมิแพ้ ที่แอบซ่อนอยู่ภายในบ้านโดยไม่รู้ตัว เช่น ละอองเกสรดอกไม้...

Read more...